เทศน์พระ

ดูธาตุรู้

๑๑ ก.ค. ๒๕๕๓

 

ดูธาตุรู้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว.. ตั้งใจให้สงบๆ นะ อากาศร้อน.. อากาศร้อน สภาพแวดล้อมร้อน อุณหภูมิสูง หัวใจเราก็ขัดข้องด้วย อาจจะร้อนไปด้วย ถ้าอากาศมันร้อน ที่ไหนมันก็ร้อน

ไฟในนรกอเวจีร้อนกว่านี้ แล้วเราไม่มีทางปฏิเสธ เวลาไฟนรกอเวจีเผา.. เผาจนละลายนะ นี่สภาวะนรกอเวจีมีความทุกข์ยากมาก พอมันละลายจนหมดสภาพแล้วมันก็กลับขึ้นมาเป็นเราอีก แล้วมันก็เผาซ้ำเผาซาก เผาเรื่องของกรรม

แต่ที่ในเมื่อเราอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ เวลาอากาศมันร้อน เวลามันตึงเครียดขึ้นมา เราตั้งสติของเรา.. เราตั้งสติของเรา ถ้าทำใจให้สงบเย็นได้ สิ่งที่มันร้อนขนาดไหนก็รู้ว่ามันร้อน สภาวะแบบนี้เป็นสภาวะแวดล้อมที่เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ มันเป็นสภาวะแบบนี้

คน ! ดูสิ ในทางตะวันตกเห็นไหม เวลาหน้าหนาวของเขา หิมะตก.. เขาจะมาทางตะวันออก เขาจะมานอนอาบแดดเห็นไหม สภาวะเขาหนีของเขาได้ โลกเขาหนีของเขาได้ ถ้าเขาหนีไปของเขาขนาดไหนนะ มันหนีไป.. หนีไปจากฤดูกาลใช่ไหม เขาหนีของเขา

แต่เพราะทางโลกเขามีความทุกข์ความร้อน ชีวิตทางโลกเห็นไหม แต่สภาวะทางโลก ผลของวัฏฏะนี่มันมีสภาวะแบบนั้น แต่เพราะเราเห็นโทษของมัน เราเกิดเป็นชาวพุทธ พบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรื้อค้นแสวงหาสิ่งนี้มา สิ่งที่ทำความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจได้ เพราะเรามีความเห็นว่า ทำความร่มเย็นเป็นสุขของหัวใจเราได้

แต่สภาวะแวดล้อมจากสภาวะสิ่งแวดล้อมนี้เป็นความร้อนอันหนึ่ง สภาวะแวดล้อมความร้อนจากกิเลสของเราก็เป็นความร้อนอีกอันหนึ่ง ความร้อนสองความร้อนมันบวกกัน ทำให้เรามีแต่ความทุกข์ความยากเห็นไหม สภาวะสิ่งแวดล้อมข้างนอกเราหลีกมันไม่ได้หรอก เวลาฤดูกาลเห็นไหม ทางโลกเขาหลบกัน เขาไปท่องเที่ยวกัน เขาหนีหนาวมา เขาหนีร้อนมา

แม้แต่สัตว์.. นกเวลามันย้ายตามฤดูกาลของมัน เวลาหน้าหนาวมันย้ายถิ่นนะ.. ย้ายถิ่นไปวางไข่ ไปดำรงชีวิตเผ่าพันธุ์ของมัน แล้วมันก็บินกลับ มันก็บินไปเห็นไหม เต่าในทะเลเห็นไหม มันไปวางไข่ แล้วมัน... นี่ไง สัตว์มันก็รู้ถึงการหลบหลีกของมัน ในธรรมชาติของมัน เขารู้ของเขาอยู่แล้ว นี่ความเร่าร้อนของโลก ความเร่าร้อนของวัฏฏะ

แต่ความเร่าร้อนของกิเลสเราล่ะ กิเลสในหัวใจของเรามันก็เร่าร้อน ถ้ากิเลสในหัวใจก็เร่าร้อน เพราะเราเห็นโทษเห็นไหม ถ้าเราเห็นโทษของกิเลส เราเห็นโทษของวัฏฏะ เราเห็นโทษของการเกิดและการตาย ผลของวัฏฏะ.. เป็นผลของกรรม ของกิเลสที่มันมีอวิชชา มันถึงเวียนตายเวียนเกิดนะ เพราะมันเวียนตายเวียนเกิดด้วยกรรม ด้วยอวิชชา มันถึงมาพบสภาวะแวดล้อมความร้อนจากข้างนอก

แต่ถ้าความร้อนจากข้างนอก เราเกิดมาแล้วเห็นไหม มันสภาวะแวดล้อมจากข้างนอก เราก็เห็นของเรา เราก็เข้าใจของเรา

แต่สภาวธรรม.. สภาวธรรมที่เกิดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เราระลึก เราประพฤติปฏิบัติ เพราะเราเห็นโทษของมัน เราถึงได้เสียสละมา.. เสียสละชีวิต สิทธิความเป็นมนุษย์ สิทธิความเป็นอยู่ของโลก สิทธิความเสมอภาค เราเสียสละความเป็นเสมอภาคมาเป็นภิกษุ มาเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าเรามาเสียสละสิทธิทางโลกเขาแล้วนี่ เราจะไม่ไปพูดถึงทางโลกเขา

“ทางโลก” เห็นไหม โลก ! โลกเขาแข่งขันกัน โลกเขาแสวงหาเพื่อความเป็นอยู่ของเขา เพื่อความมั่นคงของเขา แต่ความมั่นคงของเขา ดูสิ ดูกระแสของเศรษฐกิจ กระแสของโลกเห็นไหม มันทำให้โลกทั้งโลก ในเศรษฐกิจ ดู..ประเทศหนึ่งมีปัญหา มันจะชักนำให้ประเทศข้างเคียงมีปัญหาตามกันไปหมดเลย

นี่มันจะหนีอย่างไร มันก็จะหนีสภาวะกรรม กรรมที่มันเป็นสิ่งที่ทำร่วมกันมา นี้เราเห็นความเร่าร้อนอย่างนั้น ถ้าความเร่าร้อนอย่างนั้น เพราะเป็นความรับผิดชอบของโลกเห็นไหม ดูสิ พลังงานที่ไม่มีใช้ เขาก็ต้องจุนเจือกัน ถ้าชาติหนึ่งเขามีปัญหาเขาก็โอบอุ้มกัน โอบอุ้มเพราะอะไร เพราะมันจะดึงทั้งโลกพังไปหมดไง

นี้เราเห็นโลกมันเป็นอย่างนั้น .. เราก็เป็นเหยื่ออันหนึ่งของโลก .. เพราะเราเห็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นเรื่องของโลกเขา เราถึงเสียสละมา เสียสละสิทธิความเป็นมนุษย์มาเป็นภิกษุ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร

ถ้าภัยในวัฏสงสาร เราอยู่กับปัจจุบันเราไง เช้าขึ้นมาเราก็บิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เรามีสติปัญญาของเรา เราก็พยายามที่จะรื้อค้นของเรา ชำระกิเลสของเรา ถ้าเราชำระกิเลสของเราเห็นไหม โลกเขาร้อน ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ ถึงโลกจะร้อนขนาดไหน ท่านก็มีความร่มเย็นเป็นสุขของท่าน.. ท่านมีความร่มเย็นเป็นสุขของท่าน ท่านเป็นหลักชัยของเรา

ดูสิ เวลาเศรษฐกิจมีปัญหาขึ้นมา หลวงตาท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านยังต้องออกมาช่วยโลก ด้วยความเป็นผู้นำ.. ด้วยความเป็นผู้นำ ทุกคนก็ถามว่า มันจะไปรอดหรือ มันจะเป็นไปได้หรือ ท่านบอกว่า “ถ้ามีความร่วมมือกัน ถ้ามีความสามัคคีกัน สรรพสิ่งใดๆ มันก็ต้องทำได้ทั้งนั้นน่ะ”

แล้วเรื่องหัวใจของเราล่ะ ถ้าหัวใจของเรานะ ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราเชื่อมั่นในศรัทธาของเรา เราเชื่อมั่นในความสามารถของเรา ในทางจงกรม ในทางนั่งสมาธิภาวนาของเรานะ ดูสิ เวลาหน้าร้อนขึ้นมาน่ะ มันมีแดดแผดเผามาทั้งนั้น เราก็หาที่หลบหลีกของเรา

ร้อนจากภายนอก ร้อนจากหัวใจ.. ร้อนจากภายนอก เราก็หลบหลีกของเรา ถ้าจิตใจของเราชุ่มชื่นขึ้นมา เรามีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมา มันเป็นความร้อนของอุณหภูมิ มันเป็นความร้อนของแดด

แต่ถ้าหัวใจเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมานี่ เรามีความอบอุ่น เรามีความชื่นใจ เราจะหลบหลีกได้ หลบหลีกไปหาที่พอมีร่มเงา เพื่อจะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เพื่อเอาความสงบของใจ

ถ้ากิเลสมันเร่าร้อน อุณหภูมิมันเร่าร้อน ทุกอย่างมันเร่าร้อนนะ หัวใจมันก็เร่าร้อน แล้วมันก็เศร้าสร้อยหงอยเหงา มันก็คอตกนะ มันมีความทุกข์นะ เวลามีความทุกข์ กิเลสมันเหยียบย่ำเราแล้วนะ เรายังส่งเสริมมันให้กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม เรามีสติปัญญากันน่ะ โลกมันร้อน อุณหภูมิมันร้อน แต่เราเกิดมาเป็นผลของวัฏฏะ สิ่งนี้มันปฏิเสธไม่ได้ มันเป็นผลของกรรม ถ้าเป็นผลของกรรม ถ้าเราจะหาความร่มเย็นของเรา เราก็ต้องแลกเอา.. แลกเอาด้วยความเพียรของเรา แลกเอาด้วยสติปัญญาของเรา ถ้ามันร้อนเราก็ร้อนด้วย จิตใจเราก็เร่าร้อนด้วย แล้วเราก็มีความทุกข์ความยากด้วย กิเลสมันก็เหยียบย่ำเห็นไหม เหยียบย่ำอะไร..

เราก็ว่าธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วธาตุรู้ของเราล่ะ ธาตุรู้ของเรามันเป็นธาตุอันหนึ่งนะ ธาตุรู้ของเรานี่เราไม่สำนึก ถ้าเราไม่สำนึก ธาตุรู้ของเรานี่ มันไม่เด่นขึ้นมาบนความเร่าร้อนนั้น

ถ้าเรามีธาตุรู้ของเรา ธาตุของเรา ธาตุคืออะไร.. “ธาตุรู้” คือ จิตใจ “ธาตุรู้” คือ พลังงาน ถ้าพลังงานอันนี้เพราะมันมีอำนาจวาสนาใช่ไหม เราถึงหลบหลีกโลกมา หลบหลีกสิทธิความเป็นมนุษย์น่ะ สิทธิความเสมอภาคทางโลกที่เขาดำรงชีวิตกัน เขาแสวงหากัน เขามีสิทธิตามกฎหมายที่คุ้มครองดูแล..

เราเสียสละสิทธินั้นมา.. เราเสียสละสิทธินั้นมานี่ เรามาถือพรหมจรรย์ เราถือพรหมจรรย์นี่เป็นสมมุติสงฆ์ เราบวชมาเป็นพระนี่ เรามีธรรมวินัยคุ้มครอง เรามีธรรมวินัยเป็นศาสดาเรามีธรรมวินัยคุ้มครองเห็นไหม นี่สิทธิของเรา นี่เราจะทำแบบโลกเขาไม่ได้ นี่สมณสารูป !

โลกของเขานี่นะ ฆราวาส.. นี่ธรรมของฆราวาส นิสัยของฆราวาส นี่ถือนิสัยๆ นี่เพราะเราจะเปลี่ยนนิสัยของเรา นี่สิทธิความเป็นมนุษย์ สิทธิความเสมอภาคน่ะ เป็นเรื่องของโลก เรื่องของกามราคะ เรื่องของความผูกพัน เรื่องของการส่งเสริมกัน เรื่องผลของวัฏฏะ เรื่องของการพายเรือในอ่าง เรื่องเรือที่ไม่มีหางเสือ ที่มันจะเวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้น

เวียนไปน่ะเป็นคราวหนึ่ง เห็นไหม เดี๋ยวเศรษฐกิจขาขึ้น เดี๋ยวเศรษฐกิจขาลง มันก็เป็นวาระของมัน นี่เราเสียสละสิทธิในสังคมนั้น เราอยู่กับเขา.. เราอยู่กับเขานะ เราแยกจากโลกไม่ได้ เราเกิดมานี่ เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นมนุษย์ที่มาบวช ที่สงฆ์ยกเข้าหมู่ มาเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์คือผู้ที่เป็นเพศนักรบ เพศที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

นี่แล้วมนุษย์เขามีธาตุ ๔ .. ธาตุ ๔ เห็นไหม เวลาเราบวชขึ้นมาแล้วน่ะ เรามีธาตุ ๖ .. ธาตุ ๖ เห็นไหม นี่ธาตุรู้ ถ้าธาตุรู้ขึ้นมานี่ เรามีสามัญสำนึก.. เรามีสามัญสำนึกว่า เราเห็นภัยในวัฏสงสาร

ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้ามันสำนึก เห็นภัยในวัฏสงสาร ทำไมไม่ต่อสู้กับมัน ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร ดูสิ เวลาคนเขาเรือแตก เขาไปกลางทะเล เขาเจอมรสุม เวลาเขาเรือแตก เขายังพยายามรักษาชีวิตของเขา มีเศษไม้ เศษวัสดุสิ่งใดที่มันเกาะดำรงชีวิตได้ เขาจะเกาะดำรงชีพของเขา จะอยู่กี่วันก็แล้วแต่ เขาจะดำรงชีวิตของเขา เผื่อเขามีโอกาสรอดของเขา.. เพราะเขาเห็นภัยเห็นไหม เขาถึงไปแสวงหา เขาพยายามจะเอาตัวเขารอด

นี่เราบวชมาเป็นนักรบ เราเห็นภัยในวัฎฏะสงสาร เรามีอะไรเป็นที่พึ่งล่ะ ถ้ามีธรรมวินัยเห็นไหม สิ่งที่เกาะข้อวัตรปฏิบัตินี่เห็นไหม “วัตรปฏิบัติ” เป็นทางเครื่องดำเนินที่ให้เราเกาะ จิตใจมันว้าวุ่น จิตใจมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ ก็เกาะข้อวัตรปฏิบัตินี้เอาไว้

นี่เขามีธาตุ ๔ เรามีธาตุ ๖ .. ธาตุ ๖ นี่อากาศธาตุ ธาตุรู้ ถ้าธาตุรู้ขึ้นมาเห็นไหม พอมีธาตุรู้ขึ้นมานี่ มีสติปัญญา ธาตุรู้คือความรู้สึก.. ถ้าธาตุรู้คือความรู้สึก เรามีสติปัญญาควบคุมธาตุรู้ของเราเห็นไหม

ถ้าเราควบคุมธาตุรู้ของเรา เราจะมีสามัญสำนึกนะ ความสำนึกสังเกตได้ไหม เวลาเราบวชขึ้นมา เรามีสติปัญญา เรามีความศรัทธาขึ้นมานี่ เราจะเห็นคุณค่าของเพศของเรา

แต่ถ้าจิตใจเราเศร้าหมอง จิตใจเราตกต่ำ จิตใจเราเสื่อมคลาย มันไม่มีอะไรมีค่าเลย สิ่งใดมันก็ไม่มีค่า.. สิ่งใดก็ไม่มีค่า มันทอดอาลัยตายอยากเห็นไหม ชีวิตมันทอดอาลัยตายอยากเลยน่ะ อะไรก็ไม่มีค่า ไม่มีคุณค่าสิ่งใดเลย เพราะอะไร เพราะมันไม่รู้จักธาตุรู้ของมัน

“ธาตุรู้” เห็นไหม ดูสิ เราไปศึกษาขึ้นมานี่ ดูสิ น้ำแข็งก็อยู่ที่โรงน้ำแข็งนะ นี่น้ำมันก็อยู่ที่ปั๊มนะ ทุกอย่างเขามีที่มา เขาบำรุงรักษาของเขา แต่หัวใจของเราล่ะ ธาตุรู้ของเราล่ะ ถ้าเรามีธาตุรู้ของเรานะ เราจะมีสามัญสำนึกนะ

ดูสิ พลังงานในน้ำมัน เขาต้องดูแลความปลอดภัย มันไวไฟ มันจะทำอันตรายให้กับคนอื่น ถ้ามันเกิดระเบิดขึ้นมา มันรั่วไหลขึ้นมามันจะทำร้ายให้สภาวะแวดล้อมทั้งหมดเลย

หัวใจของเรา ! หัวใจของเราถ้าเรารักษาของเรา เรามีสามัญสำนึกของเรา เราดูแลหัวใจของเรา เหมือนกับพลังงานที่เขาดูแลรักษา เขาต้องมียาม มีผู้ดูแลรักษา เพื่อความปลอดภัย เพื่อพลังงานนั้น ไม่ให้มันเป็นโทษเป็นภัยกับสังคม

หัวใจของเรา ! หัวใจของเรา ! หัวใจของเรา ! มันอยู่กับเรา ธาตุรู้ของเรา นี่เราเอาอะไรดูแลมัน ถ้าเราเอาสติปัญญาดูแลเห็นไหม ดูแลเพราะธาตุรู้ของเรา เพราะมันเจือไปด้วยอวิชชา มันเจือไปด้วยสิ่งต่างๆ นะ

ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันรักษาตัวมันเองขึ้นมานี่ มันมีสามัญสำนึกนะ มันมองโลกนะ.. มองโลกด้วยความสงสารนะ ทำไมโลกเขาอยู่กับโลก ทำไมเขาเหมือนคนอยู่กลางทะเล ทำไมเขาดิ้นรนอยู่กลางทะเล ทำไมเขาไม่หาที่พัก หาที่เกาะ เราเป็นคนที่พ้นออกมา.. เราพ้นจากทะเล

เรามีเพศ เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ เรามีที่อาศัย เรามีคุณค่า ถ้าเรามีสติปัญญาเห็นไหม เรามีคุณค่ากับธาตุรู้ของเราน่ะ ธาตุรู้ของเราน่ะ “ธาตุรู้” คือ จิตวิญญาณ พุทธะนะ

พุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามีสติปัญญารักษา ธาตุรู้นี่ใครรักษามัน.. ถ้าเรารักษาธาตุรู้นี่ แล้วมันมีใครบ้างที่ต้องมาจุนเจือเรา จะมีใครบ้างต้องมาต้องพึ่งอาศัยเขา ในเมื่อพลังงานในหัวใจของเรา ธาตุรู้ของเรา มันก็อยู่ในหัวใจของเรา เราก็มีสติปัญญาของเรา เพื่อดูแลเราน่ะ

ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา สติปัญญามันจะมีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลยนะ ถ้าเราเห็นคุณค่าของธาตุรู้ของเรา ถ้าเราเห็นคุณค่า แล้วเราจะรักษาของเรา พลังงานของเขา แร่ธาตุของเขา ที่เขาใช้ทางอุตสาหกรรม ทุกอย่างเขาจะต้องมีนะ จะโรงงานอะไรก็แล้ว วัตถุดิบของเขา เขาจะต้องต่อเนื่อง เพราะว่าอุตสาหกรรมของเขาจะได้ไม่สะดุดเห็นไหม

แต่หัวใจของเราล่ะ เราเป็นพระน่ะ ความสำคัญของเราล่ะ นี่สิ่งที่เป็นพลังงานของเราล่ะ สิ่งที่เป็นพลังงาน สิ่งที่เราจะใช้สอยเพื่อประโยชน์ ถ้าเพื่อประโยชน์นะ สติมันเกิดจากไหน สมาธิมันเกิดจากอะไร สมบัติของพระมันอยู่ที่ไหน

ถ้าสมบัติของพระมันมีนะ สมบัติของพระเรามี มันมีนะ ดูสิ ทางอุตสาหกรรม เขาไม่มีแร่ธาตุ เขาไม่มีวัตถุดิบของเขา เขาก็สั่งซื้อ เขาก็ช่วยเหลือเจือจานกัน ไอ้ของเรานี่ จะไปให้ใครเขาเจือจานล่ะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา อย่างไรก็แล้วแต่ครูบาอาจารย์ของเราก็ดูแลเราอยู่ ปัจจัยเครื่องอาศัยไม่ต้องไปเดือดร้อน คนเขาจะคอยดูแลเราตลอดเวลา

หน้าที่ของเราเห็นไหม หน้าที่ของเราก็ต้องรักษานะ ครูบาอาจารย์เราก็เหมือนกับเวรเหมือนกับยาม นี่พลังงานของเขา ในคลังน้ำมันของเขา เขาต้องมีเวรมียาม มีผู้ดูแลรักษา ครูบาอาจารย์เราก็รักษาอาวาส อาราม ที่อยู่อาศัย ที่อยู่ของนักรบ ถ้าที่อยู่ของนักรบ ก็ป้องกันสิ่งที่จะมากระทบกระเทือนกับหัวใจของเรา

มันมีหน้าที่ของเราเท่านั้น ที่ทำให้ธาตุรู้ขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมา ในพระไตรปิฎก ในตำรับตำรา ในข้อปฏิบัติเห็นไหม เป็นเครื่องอยู่อะไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นอาศัย เป็นสิ่งมาจากภายนอกมันไม่ได้เกิดมาจากความรู้สึกของเรา

แต่ถ้ามันเป็นธาตุรู้ของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเราขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจากเรา พลังงานอันนี้มันมีชีวิตขึ้นมานะ มันมีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลย มันมีคุณค่าขึ้นมานะ เวลาจิตใจเรารื่นเริง จิตใจเรามีความสุข เราจะมีคุณค่ามาก ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ มีสมบัติของเรา เราจะถนอมรักษา ถ้าจิตใจเราเสื่อม จิตใจเราไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์น่ะ มันไม่มีค่าอะไรเลย.. มันไม่มีค่า

ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านบอก “เวลาท่านปฏิบัติขึ้นมา จนจิตใจของท่าน มรรคญาณนี่มันก้าวเดินแล้วนี่ อยู่กะใครไม่ได้ มันเสียเวลา”

ทุกคนน่ะมันต้องเป็นภาระรับผิดชอบใช่ไหม เราไปทางไหนมีบุคคลที่ ๒ ไปด้วยกัน อย่างน้อยเราต้องคิดถึงเขา อย่างน้อยเราก็คิดถึงน้ำใจของเขา เราจะทำอะไรนี่ เราก็เป็นห่วงว่าจะกระเทือนเขาไหม ถ้ากระเทือนเขา ทำอะไรไปแล้วนี่มันกระเทือนหัวใจกัน มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีเห็นไหม

นี่เวลามีคุณค่า.. มีคุณค่าขนาดนั้น มีคุณค่าที่ว่า ถ้าเราจะดูแลบำรุงหัวใจของเรา เราจะดูแลธาตุรู้ของเรา เราจะพัฒนาหัวใจของเราให้เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา นี่จะทำสิ่งใดมันจะไปกระทบกระเทือนใครไหม ถ้ากระทบกระเทือนใคร เราจะไปของเราคนเดียว เราจะอยู่ดูแลหัวใจของเรา เราจะไม่ให้กระเทือนใคร

นี่ไง นี่สิ่งที่มันมีคุณค่าขึ้นมาแล้วน่ะ มันคิดถึงอกเขาอกเรา มันคิดถึงส่วนรวม มันคิดถึงพัฒนาการ คิดถึงทุกๆ อย่างไปหมดเลย เพราะมีสติปัญญา แต่ถ้าไม่มีสติปัญญา เวลามันอับเฉา.. เวลามันอับเฉาเห็นไหม เวลามันมีปัญหาขึ้นมานี่ เราก็ทุกข์นะ.. แล้วคนอื่นก็ทุกข์ไปกันเรา

ฉะนั้นหน้าที่ของเรา นี่ธาตุรู้ของเรา ถ้ามีธาตุรู้ของเรา เรารักษาใจของเรา “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ให้มันรู้ตัว ให้มันตื่นขึ้นมา ให้มันชื่นบาน แล้วผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันทำอะไรต่อไป ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน..

พลังงาน ดูสิถ้าพลังงานมันเป็นประโยชน์นะ ดูคลังน้ำมันสิ คลังน้ำมันก็คือคลังน้ำมันนะ ปิดตายไว้นั้นน่ะไม่ต้องใช้ คลังน้ำมันมันก็จะเสื่อมสภาพไป มันก็จะหมดอายุของมันไป

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่ว่า “ธาตุรู้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” เบิกบานแล้วเบิกบานมาทำไมล่ะ ดูดอกไม้สิ เวลามันแรกแย้มขึ้นมา ถ้าไม่ดูแลรักษามัน มันก็เหี่ยวเฉาไปใช่ไหม ดอกไม้ทุกชนิดมันมีอายุขัยของมัน

สติปัญญาของเรา สมาธิของเรามันมีอายุขัยไหม เวลาทำขึ้นมาน่ะ เวลาสร้างสมาธิขึ้นมา เวลาเป็นสมาธิขึ้นมานี่ชั่วครั้งชั่วคราวนี่ ถ้าไม่รักษาไว้มันก็เสื่อมไป นี่มันมีอะไรคงที่บ้าง นี่ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันคงที่ไหม คนเกิดมามันก็ตายทุกคนน่ะ นี่มันจะมีศรัทธาขนาดไหน คนเกิดมาอยู่ชั่วคราวมันก็ตายไป นี่แล้วความดีของเราน่ะ เกิดมาแล้วรักษาขึ้นมา มันก็ตายเราไป ตายจากคุณงามความดีไป แต่ใจไม่เคยตาย ธาตุรู้มันไม่เคยตาย !

ความรู้สึก ความนึกคิด ความต่างๆ แรงปรารถนานี่ มันเกิดดีๆ งามๆ มันก็ตายไป มันก็ตายไป สิ่งนี้มันเวียนตายเวียนเกิด เห็นไหม ดูสิ สรรพสิ่งนี่ ดูโลกข้างนอก.. ดูโลกข้างนอกคือผลของวัฏฏะ ดูโลกในหัวใจของเรา ดูจิตมันเกิดๆ ตายๆ อยู่นี่

ถ้าจิตมันเกิดๆ ตายๆ ..เกิดๆ ตายๆ คือความรู้สึก ความนึกคิด แต่ถ้าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เรารักษาเหตุของเรา เราดูแลของเรา ดูแลหัวใจ ดูแลธาตุรู้นี่ ให้มันสดชื่น.. ให้มันสดชื่น ให้มันชื่นบาน

ถ้ามันสดชื่น ชื่นบานนะ โลกจะร้อนขนาดไหนนะ ร้อนก็คือร้อนนะ แต่หัวใจเรา เราก็ดูแลของเรา เราหลบหลีกของเรา เรารักษาของเรา ถ้าเรารักษาของเขาได้ ทำหัวใจของเราได้ มันจะทำให้ชื่นบานได้ ถ้าชื่นบานได้ คนก็มีความชื่นบาน

ดูสิ ดอกไม้แรกแย้มนี่ โอ้โฮ.. ทุกคนก็ปรารถนานะ ตัดมาใส่แจกันนี่ โอ๋..ใส่ผง ใส่สิ่งต่างๆ จะให้มันสดชื่นอยู่ตลอดไป มันเป็นไปได้ไหมล่ะ.. แต่เราก็ปรารถนาน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเราดีขึ้นมานะ หัวใจเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เรารักษาไว้ เราดูแลของเราไว้ ถ้ามันจะเหี่ยวเฉาอย่างไรก็แล้วแต่ มันมาได้ ต้นไม้มันเกิดมาจากอะไรล่ะ ดอกไม้มันเกิดจากต้นใช่ไหม เขารดน้ำที่โคน เขาให้ปุ๋ยดูแลมัน แล้วดอกไม้นี่มันจะไปแบ่งบาน มันจะไปแตกหน่อแตกยอดที่ปลาย

หัวใจของเรามันจะเหี่ยวเฉาขนาดไหน มันจะทุกข์ๆ ยากๆ ขนาดไหน มันเป็นธรรมดานะ สิ่งใดก็แล้วแต่ มันมีเจริญแล้วมันก็มีเสื่อม คนเรามาปฏิบัตินะไม่เจริญรุ่งเรือง แล้วไม่เสื่อม มันจะรู้ได้อย่างไร อะไรเจริญ แล้วอะไรเสื่อม อะไรบ้างที่มันเจริญแล้วไม่เสื่อม

ดูเราเกิดมาสิ ทางการแพทย์นะ เซลล์ในร่างกาย ๗ ปีก็ตายหมด นี่นั่งอยู่นี่คนใหม่นะ แต่ก็คือคนเก่านี่ เราเกิดมาเป็นอะไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้ก็เป็นคนเดิมอยู่นั้นแหละ แต่สิ่งสภาพร่างกายมันเปลี่ยนแปลง มันซ่อมแซมตัวมันอยู่ตลอดเวลาเห็นไหม

แล้วโลกหัวใจของเราล่ะ หัวใจของเรามันเจริญขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ มันเจริญขึ้นมาเพราะเรามีสติปัญญาใช่ไหม มันจะทุกข์ มันจะยาก.. ทุกข์ยากจริงๆ นะ โลกเขาทุกข์อยากด้วยผลของวัฎฏะ ไอ้เราทุกข์ยากเพื่อจะชำระกิเลส นี่อดนอนผ่อนอาหาร.. ไม่ใช่เรื่องธรรมดา หิวกระหาย.. หิวกระหายขนาดไหนน่ะ แล้วพอหิวกระหาย มันเป็นการทดสอบใจ.. มันเป็นการทดสอบใจ..

ดอกไม้มันจะชื่นบานเท่าไร เห็นไหม ดูสิ เวลาเราเร่งปุ๋ย เราจะใส่ปุ๋ย เราจะดูแล ดอกไม้มันจะผลิ เวลามันผลิ มันแรกแย้ม ถ้าเราเร่ง เราทำไม่ดีนะ มันก็เหี่ยวเฉา ดอกเห็นไหม เวลาดอกมันออก เวลาเกิดลมแรงมันพัดเกสร มันพัดดอกหลุดออกจากขั้วนี่ เราจะไม่ได้อะไรเลย

นี่ก็เหมือนกัน นั่งสมาธิ ตั้งสติ อดนอนผ่อนอาหาร เพื่อจะถนอมหน่อแห่งพุทธะ ความรู้สึกเห็นไหม ที่เกิดมาจากใจ ถ้ามันสะดุดปั๊บหายเกลี้ยงเลย เวลาทำอะไรหลุดมือไปเลย อู้ย.. ทุกข์ๆ ยากๆ ทำอะไรนี่

นี่ในการปฏิบัติมันมีของมัน ครูบาอาจารย์ท่านผ่านระดับนี้มาหมดล่ะ ความล้มลุกคุกคลานทุกดวงใจมี เว้นไว้แต่ “ขิปปาภิญญา” แต่มันมีที่ไหนล่ะ ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ปฏิบัตินั่งสมาธิแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย มี !! เรายอมรับว่ามี !!

แต่ความมีอย่างนั้น เพราะเขาสร้างบารมีของเขา เขาทำของเขา เขาสร้างบุญกุศลของเขามา สร้างมามหาศาล เขาถึงเป็นอย่างนั้นได้

แต่ของเรามันก็ทดสอบ มันก็บอกอยู่ซึ่งๆ หน้าอยู่แล้วว่า เราประพฤติปฏิบัติขนาดนี้ เราจงใจขนาดนี้ มันยังหลุดไม้หลุดมือ มันยังจับพลัดจับพลูนี่ แล้วเราจะทำไงนี่ มันเป็นอะไร.. มันก็เป็นกรรมของเราใช่ไหม มันก็เป็นผลของเรา มันเป็นผลของจิต มันเป็นพันธุกรรมทางจิต

ดูสิ ดอกไม้ พืชพรรณอาหาร เขาคัดพันธุ์ที่ดีขนาดไหน เขาไปใส่ของเขา ใส่ปุ๋ยให้มันเจริญงอกงาม คัดพันธุ์อย่างดี ทุกอย่างอย่างดี

จิตของเราใครคัด.. พ่อแม่ทุกคนก็อยากคัดลูกที่ดี แล้วเราก็เกิดมาเป็นลูกของพ่อของแม่ โดยสายบุญสายกรรม ใครจะคัดล่ะ.. ก็กรรมน่ะมันพัดมา กรรมน่ะมันคัดมา คัดมาทำให้เราเกิดเป็นมนุษย์.. เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา

ด้วยสติ ด้วยปัญญา คัดพันธุ์ของเรา ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เราจะกลั่นกรองหัวใจของเรา เราจะดูแลธาตุรู้ของเรา เราจะพัฒนาของเรา พ่อแม่เลี้ยงเรามา ให้น้ำให้ข้าวมาจน เป็นหนุ่มจนโตขึ้นมา แล้วหัวใจของเรานี่ เราจะเลี้ยงได้ไหม

ครูบาอาจารย์พยายามชี้นำอยู่นี่ พยายามกระตุ้นอยู่นี่ ให้เปิดมา อ้าปากมา ให้หัวใจมันเปิดมา ให้มันพัฒนาของมัน แล้วหัวใจมันพัฒนา ดูสิ เวลาหมอเขาให้ยาคนไข้นะ มันมีแต่ความเจ็บปวด ผ่าตัดน่ะ ผ่าแล้วก็ตัดทิ้ง เปลี่ยนอวัยวะ แล้วเย็บเข้าไป ดูแลเห็นไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาฝึกสติ เวลาฝึกเห็นไหม เราทำของเราด้วยความตั้งใจของเรา มันเหมือนกับการให้ยานี่ “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” หวานเป็นเรื่องของโลก มันมีแต่เรื่องสอพลอ เรื่องการฉ้อฉล แต่ขมเป็นยา.. ขมน่ะเป็นยา

ยารักษาโรคเห็นไหม เราตั้งสติของเรา เราตั้งใจของเรา เราจงใจของเรานี่ ขมเป็นยา มันจะขมขนาดไหน มันจะเป็นอย่างไหน เราก็ต้องสู้ เราจะคัดพันธุ์ของเรา เราจะให้ปุ๋ยดูแลของเรา ปุ๋ยนี่ สิ่งที่จะไปเจริญในหัวใจ มันเป็นเรื่องของสติ มันเป็นเรื่องของสมาธิ ความสงบของใจ

ใส่ปุ๋ยเข้าไปเห็นไหม ดูสิ เวลาเขาใส่ปุ๋ยนี่ เวลาเขาใส่ปุ๋ยเข้าไปโดยที่ไม่ดูฤดูกาล ใส่ขนาดไหน ฝนตกทีเดียวมันซัดไปเกลี้ยงเลย ปุ๋ยหามาเกือบตาย ใส่เสร็จต้นไม้ยังไม่ได้ประโยชน์จากปุ๋ยนั้นเลย ฝนตก.. ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง มันชะไปหมดเลย

ตั้งสติเกือบตาย ทำความสงบเพื่อที่จะให้มันเข้มแข็ง เวลามันน้อยใจ เวลามันทุกข์ใจ มันเสื่อมหายไปหมดเลย นี่ ! มันก็เป็นอย่างนี้ เพราะมันเป็นเวรเป็นกรรม เราไม่ดูฤดูกาล ฝนมันมาเมื่อไรก็ไม่รู้ เราว่าเราก็ดูดีแล้ว เราก็จะใส่ปุ๋ยของเรา เวลาฝนห่าใหญ่มันมา มันตกมา มันชะไปหมดเลยนะ

เราก็ว่าเราตั้งใจดี เราก็พยายามจะตั้งใจทำของเราดี แล้วทำไมมันเสื่อมหมดล่ะ แล้วทำไมมันทุกข์ยากล่ะ นี่มันมีเหตุผล มีการกระทำของเรา เราก็ตั้งใจของเรา เราจงใจของเรา หน้าที่ของเรา เราไม่มีอุทธรณ์ฎีกาใดๆ ทั้งสิ้น

ความผิดก็คือความผิด เรามีความปรารถนาถึงมรรคผล เรามีความปรารถนาดี สุคโต ความปรารถนากับสุคโต คือการทำให้มันเป็นเดี๋ยวนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้สุคโต อนาคตมันก็จะสุคโต เราปรารถนาสุคโต อยู่ด้วยความเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุข

แต่ในปัจจุบันนี้ มันมีเครื่องอะไรสนอง เราปรารถนานะ สุคโตอยู่ข้างหน้า ตอนนี้ร้อนเป็นไฟ.. ร้อนเป็นไฟ !! แล้วจะเอาสุคโตมา ! สุคโตมันอยู่ข้างหน้า ! แต่ถ้าเราปรารถนาสุคโต เราจะต้องสร้างความร่มเย็นให้มันเป็นสุคโตเดี๋ยวนี้

ถ้าไม่สุคโตเดี๋ยวนี้ ข้างหน้ามันจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร ความสุคโตมันอยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่นี่ เราตั้งสติของเรา.. เราตั้งสติของเรา จะฝนตกแดดออก จะร้อนเย็นขนาดไหน อันนั้นเป็นฤดูกาล

หัวใจของเรามันมีความแผดเผา ความแผดเผานะ.. กิเลส ! ไม่มีเหตุไม่มีผล เราต้องการสิ่งนี้ พอสิ่งนี้ เราจะพอใจ หาอย่างนี้มา ๒ เท่า พอได้มาครบสมบูรณ์แล้วกิเลสมันไม่พอใจอีกแล้ว มันจะเอามากกว่านี้ กิเลสมันไม่มีเหตุผล กิเลสมันไม่มีเหตุผลกับใครเลย

เราเข้าใจว่า เราปรารถนา.. ตั้งเป้า แล้วถึงเป้าแล้วมันจะมีความสุข ไม่มี !! พอตั้งเป้า พอบรรลุเป้า มันไปอีกแล้ว สุคโตไหม.. ไม่สุคโต !!

แต่ถ้าเป็นสติปัญญาของเรา มันพอใจของมัน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งเร้า ดูสิ ความอยากที่เป็นมรรค ความอยากที่เป็นมรรค คือความอยากจะกระทำ ความอยากต้องสร้างสติ ความอยากอย่างนี้ ความอยากเป็นมรรค.. มันบอกว่าเป็นกิเลส เพราะมีความอยาก

มันบอกว่า “ให้นอนเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย” สุคโตไง สุคโตแบบขี้ลอยน้ำไง ! ให้น้ำมันพาไปน่ะ ขี้มันอยู่กับน้ำน่ะ มันซัดไปน่ะ เข้าบ้านใครเขาก็ผลักออก นี่ มันไปถึงบ้านใคร เขาก็ผลักออก สุคโตอย่างนี้ไม่มีใครเอา ! สุคโตแบบขี้ลอยน้ำน่ะ !!

แต่สุคโตของเราเห็นไหม เหนื่อยยาก ตั้งสติ เราทำของเรา เราจะเหนื่อยยากขนาดไหน นี่ความเหนื่อยยาก ความเพียรนะ นี่กลิ่นของศีล.. หอมทวนลม คนดี.. คนทำคุณงามความดี กลิ่นของศีล.. หอมทวนลม เขารู้กันทั้งนั้นน่ะ !

เขาว่าคนนี้เป็นคนดี ไม่ใช่ขี้ลอยน้ำ ขี้ลอยน้ำไปที่บ้านใคร ไปหน้าบ้านใครเขาก็จะผลักออก เขาไม่ให้ขี้เข้าบ้านเขาหรอก มันเหม็น !

แต่กลิ่นของความดี กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมนี่ ไม่ต้องลอยไปหรอก เขารับรู้ คนนั้นเป็นคนดี คนนี้เป็นคนดี สิ่งนั้นเป็นคนดีเห็นไหม มีเภทภัยขึ้นมา ฮื่อ.. คนนั้นเป็นคนดีนะ อย่าไปทำเขา เขาเป็นคนดีเห็นไหม นี่ไง กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม

เวลารักษาศีลเห็นไหม ศีลจะป้องกัน ศีลจะคุ้มครองเรา.. คุ้มครองเพราะคุณงามความดี คุ้มครองเพราะเนื้อของศีล คุ้มครองเพราะสุคโตไง คุ้มครองเพราะคุณงามความดีของมันน่ะ คุณงามความดีของการกระทำนั้นนะ มันคุ้มครองตัวมัน นี่ ธรรมะจะคุ้มครองเรา.. ธรรมะจะคุ้มครองเรา เพราะเราทำคุณงามความดี

โลกเขาจะเบียดเบียน โลกเขาจะติฉินนินทา โลกเขาจะมีความพอใจ นั้นเป็นผลของวัฏฏะนะ ผลของวัฏฏะก็เหมือนกับรูปร่างหน้าตาเรานี่ เรามานี่ พ่อแม่คนไหนบ้างไม่อยากให้ลูกของเราสมบูรณ์ สมประกอบตามความพอใจ แต่มันเป็นไปสมความปรารถนาไหมล่ะ

มันก็เป็นไป..สร้างคุณงามความดีมา เพราะศีลเห็นไหม ผู้ที่ไม่ปาณาติปาตา ชีวิตจะยั่งยืน ผู้ที่ไม่โกหกมดเท็จ.. ศีล ๕ ไง นี่มันส่งผลมาถึงรูปร่างหน้าตานี้ไง มันส่งผลมาในปัจจุบันนี้ไง สิ่งนี้มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากการกระทำเห็นไหม แล้วใครจะไปตบแต่งมันได้ล่ะ นี่ไง สิ่งที่มันสุคโต มันสุคโตที่เรา

ถ้าสุคโตที่เรา นี่ธาตุรู้นะ ดูแลธาตุรู้ ดูแลหัวใจของเรา ถ้าดูแลธาตุรู้ ดูแลหัวใจของเรา มันจะชุ่มชื่น คำว่า “ชุ่มชื่น” มันจะองอาจ กล้าหาญ มันจะรื่นเริงไง แต่ถ้ามันเศร้าสร้อยเหงาหงอยนะ มันมีแต่ท้อถอย แล้วถ้าท้อถอยนะ เราสละอะไรมา เราสละสิทธิความเป็นมนุษย์กับโลก เพราะเราเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในโลกมันเป็นความเร่าร้อน มันเป็นสิ่งที่แผดเผา เพราะตบะ

ตบะนั้นน่ะคือไฟ คือสิ่งต่างๆ มันเผาผลาญมา เราเห็นว่ามีความเร่าร้อน เราหนีจากความเร่าร้อนมาสู่ความร่มเย็น ถ้าหนีจากความเร่าร้อนมาสู่ความร่มเย็น สิ่งนี้เป็นสิทธิที่เราจะดูของเรา เราจะดูแลความที่มันจะร่มเย็น มันจะร่มเย็นด้วยอะไรล่ะ

ครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ ไฟ ! มันจะดับได้ก็ต่อเมื่อเราชักเชื้อไฟออกจากไฟ ชักเชื้อของมัน ถ้ามันไม่มีเชื้อ ไฟมันจะติดอะไร

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันเป็นเชื้อ แต่ถ้าพูดถึงกิเลสนะ มันบอกว่า ความอยาก การกระทำนี่มันเป็นกิเลสหมด ถ้ามันเป็นกิเลส.. กิเลสเห็นไหม ไฟ..เวลาจุดไฟป่า เขาดับไฟ แล้วไฟมันดับ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันดิ้นรนของมัน เราก็ต้องเข้มแข็ง ความเข้มแข็ง อยาก.. อยากในเหตุในผล อยากในการตั้งสติ อยากอยู่นะ อยากบังคับให้อยู่ในทางจงกรม

ความคิดมันจะไปไหน.. มึงไป ! มึงไปเลย !! ความคิดน่ะมึงไปเลย !

..แต่.. เราตั้งสติ !!! เดินทางจงกรมอยู่นี่ กูไม่ไปกับมึง ! แต่ความคิดมึงไปเลย !! มึงไปซะ !! แล้วเราเดินจงกรมบังคับไว้ .. แล้วสู้กัน .. แล้วเดี๋ยวถ้าสติปัญญามันทันนะ ไอ้ความคิดที่มันจะไปน่ะ มันไปไม่ได้เพราะอะไร...

ความคิดเกิดจากอะไร.. เกิดจากธาตุรู้ เกิดจากจิต ถ้าเราควบคุมจิตได้ ความคิดมันมาจากไหน ความคิดมันเกิดจากอะไร ในเมื่อเราควบคุมจิตได้ เราควบคุมธาตุรู้ได้น่ะ ไอ้ที่มึงจะไปน่ะ มึงไปซะ ! กูจะอยู่นี่.. มึงไปเลย !!

ในการกระทำนี่ นี่ความอยากอย่างนี้ ความอยากที่เป็นมรรค ความอยากการกระทำ ความอยากการควบคุมตัวเอง ความอยากจะทำความผ่องแผ้วของใจ เรามีความอยากของเราน่ะ แล้วไม่ใช่ว่าเราจะไป.. เอารถมา มันก็เสร็จนะสิ ! พอมันคิดจะไป ไปตามมัน เห็นไหม

พอมันจะไปไหน.. เชิญตามสบาย ความคิดน่ะมันจะเพ้อเจ้อ เพ้อฝัน เชิญตามสบาย แต่บังคับตัวเราไว้ บังคับจิตเราไว้ รักษาหัวใจของเรา ! รักษาธาตุรู้ของเรา ! ไอ้ความคิดมึงจะจินตนาการ อยากไปไหน เชิญตามสบาย

ถ้าเรารักษาธาตุรู้ของเรา ไอ้ความคิดนั้นมันจะวิ่งกลับมาหาเราเอง มันจะวิ่งกลับเข้ามาหา แล้วยอมคารวะว่า.. “ยอมแพ้” แล้วมันจะยอมจำนนกับเรา นี่สุคโต !

แต่ถ้าเราคิดแล้ว เราไปกับมันนะ เพราะคิดแล้วนะ นี่ตัณหาความทะยานอยาก ที่ว่า อยากเป็นมรรค อยากเป็นกิเลสน่ะ.. มันอยากเป็นกิเลส อยากคิดน่ะ คิดเสร็จแล้วก็สนองมันน่ะ นี่ไง อยากอย่างนี้เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อยากเท่าไรก็ไม่มีวันพอ

แต่ความอยาก อยากจะพ้นทุกข์ อยากจะควบคุม อยากจะดูแลหัวใจ ความอยากอย่างนี้เป็นมรรค มึงคิดๆ ไป.. กูไม่ไป ! กูจะอยู่กับกูนี่ ! ทางจงกรมนี่ เดิน.. สั่งให้เดินทั้งวัน มึงเดินอยู่นี่ ไอ้ความคิดอะไร.. มึงไปเลย !

นี่แล้วมันจะไปไหนได้ อยากอย่างนี้.. เป็นอยากในมรรค อยากอย่างนี้ เป็นอยากในศีลในธรรม อยากควบคุมตัวเอง การกระทำมันต้องมี ไม่ใช่ว่าขี้ลอยน้ำน่ะ แล้วก็ว่าฉันนี่พระอรหันต์น่ะ โอ้โหย.. มีคุณธรรม เรียบร้อย สงบเสงี่ยม

ดอกไม้มีวันเฉานะ ดอกไม้อะไรไม่มีคงที่หรอก นี่เหมือนกัน การกระทำอย่างนั้นมันเป็นเปลือก เป็นมารยาทสังคม เราเอาความจริง เราเอาหัวใจของเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะเรา ไม่มีใครรู้กับเราหรอก ทุกข์ยากเราก็ทุกข์นะ

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตเราดีขึ้นมา สุขหรือทุกข์เรารู้ของเรา แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมากับเรานี่ เราสามารถอธิบายแจกแจงกับใครก็ได้ เพราะมันเป็นอย่างนี้จริงๆ

“อริยสัจมีหนึ่งเดียว” ถ้าอธิบายออกมามันขัดแย้งกัน มันต้องมีอันหนึ่งผิด อริยสัจไม่มีสองหรอก.. หนึ่งเท่านั้น !! ถ้าหนึ่งเท่านั้นเห็นไหม..

สิ่งที่อริยสัจ ความจริงนี่ ความจริงคือความจริง ความจริงมันจะพ้นไปไหน ความจริงต้องเข้ากับความจริง ความจริงไปเข้ากับความจอมปลอมไม่มี ความจอมปลอมจะมาเข้าสู่ความจริงก็ไม่มี ความจริงมันจะเข้าสู่ความจริง เว้นไว้แต่ เราทำจริงหรือเปล่าล่ะ เราเข้าถึงความจริงได้ไหมล่ะ

ถ้าเราเข้าถึงความจริงได้ เรารักษา “ธาตุรู้” ของเรา รักษาพลังงานในหัวใจของเรา รักษาพลังงานเห็นไหม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ของเรา ตอนนี้มันรู้ไหม มันตื่นไหม มันเบิกบานไหม มันมีแต่ความเศร้าใช่ไหม มันมีแต่ความจำนนใช่ไหม มันมีแต่ความหงอยเหงาใช่ไหม เตือนมันซิ ! สิ่งนี้พลังงานมันเกิดความเศร้าหมอง มีความผ่องใส มันมาจากอันเดียวกัน

จิตหนึ่งเดียวนี่.. พลิกเป็นเศร้าหมอง พลิกเป็นความทุกข์ มันก็ทุกข์ไป จิตอันเดียวนี่.. พลิกเป็นความผ่องใส พลิกเป็นความองอาจกล้าหาญ สติเราน่ะ.. หัดสิ ! พลิกมันสิ ! เปลี่ยนแปลงมันสิ ! หัวใจนี่พลิกได้ ! เปลี่ยนแปลงได้ ! ทำได้ ! ควบคุมได้ !

แต่เพราะไม่เข้มแข็ง เพราะไม่สู้ เพราะจำนน กิเลสมันเหยียบคอเอา .. แต่ถ้าสู้ .. หัวใจของเรา !! ของๆ เราแท้ๆ !! ให้ใครมาบอกล่ะ สติสร้างมา สติควบคุมมา ทำของเรามา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง